5 โรคที่พบมากที่สุด ในการมีเพศสัมพันธ์

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เริ่มจะพบมากขึ้นในวัยรุ่นซึ่งจะมีเพศสัมพันธ์ก่อนการแต่งงาน โดยที่ขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ การป้องกันตัวเองทั้งการตั้งครรภ์และโรคติดต่อ การที่เรามีความรู้เกี่ยวกับการติดต่อ อาการของโรค การรักษา จะเป็นขั้นแรกของการป้องกันโรค ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ควรทราบ
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือโรคส่งผ่านทางเพศสัมพันธ์ (ตามที่บัญญัติในราชบัณฑิตยสถาน) (Sexually transmitted disease; STD) อาจเรียกว่า “กามโรค” (Venereal disease) หรือ “วีดี” เกิดขึ้นจากการติดต่อกันผ่านทางเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศทางช่องคลอด ทางปาก หรือทวารหนัก กับผู้ที่กำลังมีเชื้อ ปัจจุบันใช้คำว่า “การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์” เพื่อให้มีความหมายกว้างขึ้น และเป็นแล้วเราสามารถหาวิธีการดูแลตัวเองให้หายไกลจากโรดได้อย่างไร

4

สาเหตุของการเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
1. เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งบางชนิดสามารถรักษาให้หายขาดได้ บางชนิดไม่มียารักษา และบางชนิดยังสามารถฝังตัวอยู่ และกลับมาเป็นซ้ำได้อีก โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากเชื้อไวรัสได้แก่ เริมที่อวัยวะเพศ หูดหงอนไก่ ไวรัสตับอักเสบบี ฯลฯ
2. เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ได้แก่ ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม ท่อปัสสาวะอักเสบ ช่องคลอดอักเสบ ฯลฯ
3. เกิดจากเชื้ออื่น ๆ เช่น พยาธิ สามารถรักษาให้หายขาดได้ ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ

1. แผลริมอ่อน

แผลริมอ่อนเป็น โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi โรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด โรคนี้จะทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต บางครั้งมีหนองไหลออกมาที่เรียกว่าฝีมะม่วง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่ายโรคนี้ติดต่อได้สองวิธีคือ ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการสัมผัสแผลระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์และติดต่อโดยการปนเปื้อนหนองไปติดผิวหนังส่วนอื่น
โรคแผลริมอ่อน เกิดได้ทั้งในหญิงและในชาย มีการติดต่อกันได้ง่ายมาก อาการเด่นคือ ทำให้มีแผลบริเวณอวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโตและเจ็บ (อาจเกิดข้างเดียวหรือทั้ง 2 ข้างซ้าย ขวา) หรืออาจเกิดแผลบริเวณอื่นๆ เช่นปาก หรือ ก้น ตามวิธีการที่มีเพศสัมพันธ์
ในผู้ชายที่ติดเชื้อ จะมีอาการเจ็บ/ปวดแผลมาก ส่วนในฝ่ายหญิงมักจะไม่ค่อยเจ็บ/ปวดแผล จึงไม่ค่อยรู้ตัว จึงทำให้เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคได้ง่าย หากรักษาไม่ครบจะทำให้เชื้อดื้อยา

6

2. ซิฟิลิส

เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่า Treponema pallidum เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายทางเยื่อเมือกเช่น ช่องคลอด ท่อปัสสาวะ ปาก เยื่อบุตา หรือทางผิวหนังที่มีแผล เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะเข้ากระแสเลือด และไปจับตามอวัยวะต่างๆทำให้เกิดโรคตามอวัยวะและทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาว โรคนี้แบ่งออกเป็น 4 ระยะได้แก่ Primary,Secondary,Latent,Tertiary (or late) เชื้อโรคสามารถติดต่อทางเพศสัมพันธ์โดยผ่านทางเยื่อบุช่องคลอด ท่อปัสสาวะ เชื้อโรคสามารถติดต่อได้บ่อยในระยะ primary เนื่องจากระยะนี้จะไม่มีอาการและในระยะ secondary จะมีหูดระยะนี้จะมีเชื้อโรคปริมาณมากหากสัมผัสอาจจะทำให้เกิดการติดต่อ

3. หนองในเทียม

หนองในเทียม (Chlamydia infection) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อย มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อเรียกว่า คลามัยเดีย ทราโคมาทิส (Chlamydia tra chomatis) โรคหนองในเทียมมักจะไม่ปรากฏอาการให้เห็นอย่างชัดเจน แต่มักจะก่อให้เกิดการทำลายระบบอวัยวะสืบพันธุ์ของผู้หญิงอย่างมาก จนอาจทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก ในผู้ ชายอาการที่อาจพบได้ คือมีน้ำลักษณะคล้ายหนองไหลออกจากอวัยวะเพศได้ การติดต่อของโรคหนองในเทียมเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือทางปาก หนองในเทียมอาจติดต่อจากแม่สู่ลูกขณะมีการคลอดทางช่องคลอด ดังนั้นในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์จึงเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดโรคหนองในเทียม ยิ่งมีจำนวนคู่นอนมากขึ้นเท่าไหร่ โอกาสการติดเชื้อก็จะเพิ่มขึ้นมากเป็นเงาตามตัว นอกจากนี้ในเด็กวัยรุ่นผู้หญิงที่เยื่อบุปากมดลูกยังไม่มีการพัฒนาเต็มที่ จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเพิ่มขึ้นหากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเวลาดังกล่าว
นอกจากนี้ การที่ผู้ชายมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย หรือผู้หญิงมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิง ก็สามารถติดหนองในเทียมได้เช่นกัน เพราะเชื้อหนองในเทียมสามารถติดต่อได้ทางทวารหนัก หรือจากการที่อวัยวะเพศสัมผัสกัน
เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังของต่อมน้ำเหลืองที่เกิดจากเชื้อโรค Chlamydia trachomatis เชื้อแบคทีเรียนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ฝีมะม่วงหมายถึงต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอักเสบจากเชื้อ ผู้ป่วยที่มาด้วยก้อนที่ขาหนีบและปวด หรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวมซึ่งพบได้บ่อยโรคนี้เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ผู้ป่วยอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นแผลที่อวัยวะเพศ

5

4. ฝีมะม่วง

เป็นโรคติดเชื้อเรื้อรังของต่อมน้ำเหลืองที่เกิดจากเชื้อโรค Chlamydia trachomatis เชื้อแบคทีเรียนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ฝีมะม่วงหมายถึงต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบอักเสบจากเชื้อ ผู้ป่วยที่มาด้วยก้อนที่ขาหนีบและปวด หรือที่ชาวบ้านเรียกไข่ดันบวมซึ่งพบได้บ่อยโรคนี้เกิดจากเชื้อ Chlamydia trachomatis ผู้ป่วยอาจจะไม่ทันสังเกตเห็นแผลที่อวัยวะเพศ
อาการของโรคฝีมะม่วง
– แผลที่อวัยวะเพศ มีแผลที่อวัยวะเพศชายหรือหญิง แผลนี้จะไม่ปวด
– ต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต มีหนองไหลออกจากต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบ
– ท่อปัสสาวะอักเสบ
– การอักเสบของรูทวาร มีเลือดหรือหนองออกมาจากทวารหนัก มีอาการปวดเบ่งอุจาระ

5. หนองใน

โรคหนองใน (Gonorrhea) เป็นโรคติดเชื้อที่สามารถแพร่จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งได้จากการมีเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อหนองใน (Neisseria gonorrhoeae) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่เจริญได้ดีในที่ชื้น และที่อบอุ่นของระบบอวัยวะสืบพันธุ์ ตั้งแต่ปากมดลูก มดลูก ปีกมดลูก ท่อปัสสาวะ (ทั้งหญิงและชาย) นอก จากนี้ยังสามารถเจริญในที่อื่นๆได้ เช่น เยื่อบุช่องปาก คอ ตา ทวารหนัก เป็นต้น
โรคหนองใน เกิดได้จากการสัมผัสเยื่อบุช่องคลอด ช่องปาก ทวารหนัก องคชาต (อวัยวะเพศชาย) โดยอาจมี หรือไม่มีการหลั่งน้ำอสุจิก็ได้ นอกจากนี้ ยังอาจติดจากมารดาสู่ทารกในระหว่างการคลอดได้ ผู้ที่เป็นโรคหนองใน หลังจากได้รับการรักษาแล้ว หากสัมผัสโรคอีก ก็เป็นโรคซ้ำได้
อนึ่ง ปัจจัยเสี่ยงของโรคหนองใน คือ คนที่มีเคยมีเพศสัมพันธ์แล้วจะมีความเสี่ยง หรือมีโอกาสที่จะเป็นโรคได้ นอกจากนั้น จะมีความเสี่ยงสูงใน
กลุ่มวัยรุ่น คนที่มีคู่นอนมากกว่าหนึ่งคน เคยเป็นโรคนี้มาแล้ว และ/หรือ เคยเป็นโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ชนิดอื่นๆมาแล้ว เช่น โรคซิฟิลิส (Syphilis)
ไม่มีการใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ ผู้ติดยาเสพติด

 

 

5 โรคที่พบมากที่สุด ในการมีเพศสัมพันธ์

ชีวิตคู่, วิธีการ, เรื่องน่ารู้  |   , , , , , , , , , , , ,
ชมเว็บไซต์lensotires ผู้ผลิตยางรถยนต์ในประเทศไทย