ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า ไม่ได้จบdoctor อะไรมา แต่พอดีว่าอ่านเยอะ สนใจด้านนี้ประกอบกับประสบการณ์ใช้ยารักษาสิวมานาน
พอดีรักษาสิวมาหลายที่ เยอะมากกกกกกกก โอ๊ย แต่ก็มีแหละ เพราะสกปรก ชอบแต่งหน้า ทำไงได้หล่ะเนอะ ผู้หญิงก็อยากสวย แต่งหน้า พอดีก็รักษา แต่ไม่ได้เป็นเยอะเว่อร์ไร อาทิตย์ละเม็ด บางครั้งก็ไม่มี ช่วงเป็นประจำเดือนจะเยอะ ก็ทายาปกติ ไม่ได้อะไรมากมาย เป็นเรื่องธรรมชาติ บางครั้งเราไปปวดหัววุ่นวายกับมันมากไปก็ไม่ดี มีวินัย ทาครีมสม่ำเสมอ ไม่แกะ ไม่กดมัน ปล่อยมันหายไปตามธรรมชาติ ให้ยามันรักษา แต่เราไม่อดทนไง เห็นหัวขาวๆ หนองๆ คันไม้คันมือ บีบกด จนเป็นรอยดำๆ ใช้มาเยอะ ครีมแพงๆก็เยอะ แต่ไม่หายทันใจ สุดท้ายอยากหายเลย ทันใจ เลเซอร์กแนะนำเลย มีเงินนะ จัดเลย ครั้งเดียวหาย(ถ้าเพิ่งเป็นสิว มีรอยแดง) แต่งบน้อยก็มาทาครีมกัน
การรักษาสิวมีหลายวิธีมากจัดเรียงได้ประมาณนี้
1.ทายา(มียาหลากหลายชนิด จะกล่าวต่อไป)
2.เลเซอร์
3.กดสิว—->สิวอุดตัน
4.ฉีดสิว—->สิวอักเสบ
5.ใช้ไนโตรเจนเหลว —>ใช้กับพวกcyst
6.ทานยา—->ให้แพทย์สั่ง
คือบางคนเป็นเยอะก็ต้องรักษาหลายอย่าง แต่การทานยาขอบอกเลยว่า ควรให้แพทย์แนะนำ อย่าไปทานเอง เพราะยาค่อนข้างจะอันตราย มีผลข้างเคียงสูง ใช้รักษาคนที่เป็นสิวรุนแรงแบบทำไงก็ไม่หายแล้ว เลยไปลดการทำงานของต่อมไขมันเลย แต่side effect รุนแรงมาก ดังนั้น ถ้าเป็นสิวขนาดนั้น ไปพบแพทย์เลยดีกว่า ที่จะกล่าวแนะนำจะเป็นเรื่องยารักษาสิว
คนที่เหมาะจะทายาก็คนที่มีสิวเสี้ยน อุดตัน สิวอักเสบ ไม่ได้เยอะเว่อร์เต็มหน้า จนไม่มีที่ขึ้นแล้ว แบบนั้นไปหาหมอเถอะ ให้หมอแนะนำและรักษาจะดีที่สุด นี่เป็นวิธีง่ายๆ หาซื้อง่ายๆ ตามร้านขายยา เดินเข้าboots ,watson หรือร้านขายยาเลย มีอยู่แล้ว ราคาประหยัด ไม่ต้องไปเสียเงินในคลีนิคความงามเลย แพง หรือแบรนด์อื่นๆ ขายกัน1000-3000 บ้าบอ เสียดายเงิน ตัวยามันก็เหมือนกันอยู่ละ ไม่ต่างกันเลย
ยารักษาสิวแบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกันคือ
1. ยารักษาสิวชนิดผลัดผิวเซลล์ หลักการทำงานคือ ลดการอุดตันของสิว และทำให้สิวมีขนาดเล็กลง ได้แก่ ยาทารักษาสิวกลุ่มวิตามินเอ, กลุ่ม AHA และ BHA, กลุ่มอะเซลาอิกแอซิค (Azelaic Acid) และกลุ่มเบนซอยด์ (Benzoyl)
2. ยารักษาสิวชนิดฆ่าเชื้อแบคทีเรีย หลักการทำงานของยาชนิดนี้คือ ยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดสิว ได้แก่ ยาทารักษาสิวกลุ่มปฏิชีวนะ อย่าง Clindamycin, Erythromycin, Metronidazole
3. ยารักษาสิวชนิดลดการอักเสบของสิว และบวมแดงของสิว ได้แก่ ยารักษาสิวกลุ่มสเตียรอยด์ (Steroid) ซึ่งการใช้ควรใช้แค่พอรักษาหายแล้วหยุดทันทีเพราะหากใช้นานเกินไปก็อาจเกิด ผลข้างเคียงต่อผิวได้
4. ยารักษาสิวกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ กลุ่ม Resorcinol, Licorice Extract PU40, Vitamin B3, Zinc Sulfate, Zinc Oxide หรือสารจากธรรมชาติ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยให้หัวสิวแห้ง และลดรอยแดงของสิว
มากล่าวถึงยาที่ใช้ทากันทั่วไปตามคลีนิคและในครีมที่ขายกัน
Benzoyl Peroxide หรือ BP เป็นส่วนผสมในยารักษาสิวที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะ BP มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย P.acne และลดปริมาณกรดไขมันอิสระ และยังช่วยลดขนาดและจำนวนต่อมไขมัน (Comedones) ช่วยผลัดเซลล์ผิว ลดอาการอักเสบของสิว และลดการอุดตันรูขุมขน BP ที่พบเห็นในท้องตลาดจะมีทั้งชนิดที่เป็นครีมหรือเจล ความเข้มข้นที่ 2.5%, 5% และ 10% และเห็นมีขายอยู่ทั่วไปตามร้านขายยา ได้แก่
สำหรับ Benzoyl Peroxide ที่นิยมมากที่สุดในบ้านเราคือยี่ห้อ Panoxyl และ Benzac AC สำหรับมือใหม่ที่ยังไม่เคยใช้ Benzoyl Peroxide แนะนำให้ลอง Benzac AC ก่อนเพราะจะอยู่ในรูปของ Water Based ทำให้ระคายเคืองผิวน้อยกว่า BP ยี่ห้ออื่นๆ ซึ่งเป็น Alcohol Based ที่ทำให้ระคายเคืองผิวได้มากกว่า จากประสบการณ์แล้ว ใช้ BP ที่มีความเข้มข้น 2.5% ก็ให้ประสิทธิภาพในการรักษาไม่ต่างจากความเข้มข้น 5% ดังนั้นแนะนำให้ใช้ 2.5% ไปซักระยะ หากไม่ได้ผลค่อยเพิ่มระดับความเข้มข้นเป็น 5%
สำหรับเพื่อนๆที่เพิ่งจะเริ่มใช้ BP แนะนำให้ใช้วันละ 1 ครั้ง ก่อนล้างหน้าในตอนเย็น (ใครที่แต่งหน้าต้องล้างเช็ดเครื่องสำอางออกก่อนนะคะ) โดยทาบางๆ ทั่วหน้าหรือเฉพาะจุดที่เป็นสิว เว้นรอบดวงตา ริมฝีปาก และขอบจมูกที่ระคายเคืองได้ ทิ้งไว้ 10 – 15 นาที แล้วล้างหน้าตามขึ้นตอนปกติ แต่ถ้าใครที่ใช้ BP มาระยะหนึ่งแล้ว เรียกว่าผิวหน้าปรับสภาพกับตัวยาได้แล้ว สามารถใข้ BP แต้มบางๆ บริเวณหัวสิว (เหมือนใช้ยาแต้มสิว) ทิ้งไว้ข้ามคืนได้เลยค่ะ รับรองว่าเช้ามาสิวยุบเหมือนโกหก
Retinoic Acid หรือ Tretrinoin เป็นยาที่สกัดจากวิตะมินเอ ใช้เป็นยารักษาสิว มีฤทธิ์ทำให้เซลล์ชั้น Horny Layer หลุดได้ง่ายขึ้น (ช่วยเปิดหัวสิว) ทำให้ไม่เกิดการอุดตันรูขุมขน ช่วยลดริ้วรอยตื้นๆ แก้ปัญหาสีผิวที่ไม่สมํ่าเสมอ และฟื้นฟูสภาพผิวที่หยาบกร้านจากการถูกแสงแดดได้เล็กน้อย หลายคนจะคุ้นเคยกับ Retinoic Acid ในชื่อของ Retin-A และ Differin เพราะเป็น 2 ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมสูงสุด Ratin-A ที่เห็นขายอยู่ตามร้านขายยาจะมีความเข้มข้นที่ 0.025% และ 0.05% ส่วน Differin มีความเข้มข้นที่ 0.1%
Retin-A เป็นยาที่มีผลข้างเคียง ดังนั้นควรถ้าใช้ให้ถูกวิธีและเลือกความเข้มข้นให้เหมาะกับผิว แนะนำให้เลือกใช้ Ratin-A ที่มีความเข้มข้น 0.025% ทาวันละครั้งก่อนนอน โดยทาหลังล้างหน้าแล้ว 30 นาที เนื่องจาก Ratin-A จะได้ผลดีเมื่อหน้าแห้งสนิทเท่านั้น ส่วนปริมาณการใช้ให้บีบยาเท่าเม็ดถั่วเขียวก็พอ เพราะถ้าใช้ปริมาณมากเกินไปหรือแรงเกินไป นอกจากไม่ได้ช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น ยังกลับจะทำให้มีผลข้างเคียงเพิ่มขึ้นอีกด้วย และถ้าใครที่มีผิวเซ็นซิทีฟมากอาจต้องทาวันเว้นวัน หลังจากทายาบางคนอาจจะมีผิวแดง และลอก ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะเป็นอาการปกติของคนที่ใช้ Ratin-A แต่ถ้าใช้ไป 3-4 สัปดาห์แล้วอาการที่ว่านี้ยังไม่หาย ควรเลิกใช้ทันทีค่ะ
ข้อควรรู้อีกอย่างคือ การใช้ Ratin-A จะทำให้ผิวไวต่อแดดมากขึ้น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงแสงแดด และใช้ครีมกันแดดเป็นประจำ ถ้าใครที่ใช้ยาอื่นๆที่ช่วยให้ผิวไวต่อแสงเหมือนกัน แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อนซื้อมาใช้นะคะ หลังจากใช้ยาอย่างสมํ่าเสมอติดต่อกันประมาณ 4-6 เดือนจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของผิวที่ชัดเจนขึ้น หลังจากนั้นให้ลดปริมาณการใช้ยาลงเหลือสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ไปจนเหลือสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ เพราะต่อให้ใช้ยามากกว่านี้หรือติดต่อกันนานกว่านี้ หน้าก็ไม่ดีขึ้นไปกว่านี้แล้วล่ะค่ะ…เท่าที่หาข้อมูลพบว่ายังไม่มีงานวิจัย เกี่ยวกับผลข้างเคียงอื่นๆที่เกิดจากการใช้ Ratin-A ในระยะยาว
Clindamycin ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อสิว P.acne เป็นหลัก ยี่ห้อที่เราเห้นกันบ่อยๆได้แก่ Clinda- M และ Clindalin Gel วิธีใช้ก็ให้แต้มบริเวณหัวสิววันละ 2 ครั้งค่ะ ปกติแล้ว Clindamycin ไม่ทำให้เกิดการระคายเคือง นอกจากคนที่แพ้ตัวยา Clindamycin ที่ควรหลีกเลี่ยงยาตัวนี้ ราคาถูกมาก ไม่เกิน 60 บาททั้งclinda-M ,clinda gel
Salicylic Acid หรือพวกBHAที่มักจะพบในรูปแบบของโลชั่นหรือแป้งน้ำ ส่วนใหญ่มักจะใช้ตอนนอน เพราะมักจะทิ้งคราบขาวบนหน้านั่นเอง เราสามารถเลือกซื้อได้เอง โดยดูจากส่วนผสมที่ระบุไว้ที่ขวดหรือกล่องว่ามี Salicylic Acid เป็นหนึ่งในส่วนผสมหรือเปล่า ใช้รักษาสิวอุดตัน
การใช้ยารักษาสิวในบางกลุ่มก็ไม่สามารถใช้ ต่อเนื่องได้ เช่น กลุ่มยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อโรคเพราะจะเกิดการดื้อยาของเชื้อโรคตามมา และกลุ่มยาสเตียรอยด์ที่อาจทำให้ผิวบางและเกิดเส้นเลือดฝอยตลอดจนอาจก่อให้ เกิดสิวสเตียรอยด์ขึ้นมาได้ ดังนั้นจะต้องรู้จักเลือกใช้อย่างถูกวิธี และมีการควบคุมสภาพผิวให้อยู่ในภาวะสมดุล คือมีความชุ่มชื้นตลอดเวลา หรือถ้าเป็นไปได้ควรให้แพทย์เป็นผู้สั่งยาค่ะ
ครีมรักษาสิว, ผิวหน้า, วิธีการ, เรื่องน่ารู้ | ครีมรักษาสิว, ยาคุมรักษาสิว, ยารักษาสิว, ยารักษาสิวได้ม, วิธีรักษาสิวด้วยตัวเอง