การใช้ยา Isotretinoin อย่างถูกต้องเป็นอย่างไร?
โดยทั่วไปการใช้ยา isotretinoin ในช่วง 1 เดือนแรกอาการของสิวมักจะแย่ลง และจะค่อยๆ ดีขึ้นภายหลัง ในระหว่างที่ ใช้ยา isotretinoin อยู่นั้น อาจจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการใช้ยารักษาสิวชนิดอื่น โดยเฉพาะชนิดทาภายนอก เนื่องจากการ รับประทาน isotretinoin จะมีผลทำให้ผิวหนังแห้ง หลุดลอก และบางลง จนไม่สามารถทนต่อยารักษาสิวอื่นๆ ได้ นอกจากนี้ควร หลีกเลี่ยงการใช้ยา isotretinoin ร่วมกับยา tetracycline เนื่องจากอาจเสี่ยงต่อการเกิดความดันในสมองสูงขึ้นโดยไม่มีสาเหตุ (idiopathic intracranial hypertension) ได้
ขนาดยา isotretinoin เริ่มต้น คือ 0.5 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน เป็นเวลา 1 เดือน หลังจากนั้นอาจเพิ่ม ขนาดยาเป็น 1 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน ได้ โดยระยะเวลาของการรับประทานยาอาจอยู่ในช่วง 5-6 เดือน (ขนาดยารวมทั้งหมดไม่ควรเกิน 120 – 150 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกร้ม) และสามารถหยุดการหยุดรับประทานยาได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องค่อยๆ ปรับขนาดยาลง (tapering)
การเป็นสิวมีผลต่อคุณภาพชีวิตทั้ง ด้านอารมณ์ จิตใจ และสังคม ทำให้สูญเสียความมั่นใจในตนเอง ทำให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล ไม่สามารถเข้าสังคมได้ อีก ทั้งความเข้าใจของคนส่วนใหญ่เกี่ยวกับสิวมักจะเป็นเรื่องของความสวยงาม ทำให้หลายคนพยายามซื้อยามารักษาด้วยตนเอง ซึ่งแท้จริงแล้วการรักษาสิวจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลจากแพทย์ผิวหนังอย่างเหมาะสม การใช้ยาโดยไม่จำเป็นหรือไม่ เหมาะสมกับอาการ เป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการได้รับอันตรายจากยาได้
ยาที่ใช้ในการรักษาสิวมีหลายชนิด หลายรูปแบบ แต่ที่พบว่ามีความนิยมใช้กันเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มที่จะใช้ อย่างผิดวิธี คือ ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ ชนิดรับประทาน ที่มีชื่อสามัญทางยาว่า ไอโสเตรติโนอิน (isotretinoin) หรือ เรติโน อิก แอซิด (retinoic acid) และมีชื่อทางการค้า ที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ Roaccutane® (โรแอคคิวเทน), Acnotin® (แอคโนทิน), Sotret® (โสเตรส), Isotane® (ไอโสเทน) เป็นต้น ยาชนิดนี้แม้ว่จะมีประสิทธิภาพในการรักษาสิวที่ดี แต่ผลข้างเคียงของยานั้น นับว่ามีมากและรุนแรงโดยเฉพาะการใช้ยาอย่างผิดวิธี ทำให้ต้องมีการควบคุมการใช้ ดังนั้น isotretinoin ชนิดรับประทานจึงถูก จัดเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์ก่อนจึงจะสามารถซื้อยาจากร้านขายยาได้
– ยา isotretinoin มีผลทำให้เด็กทารกในครรภ์พิการแต่กำเนิดได้ และแม้ว่าเด็กทารกที่คลอดออกมาจะมีความปกติแต่ก็ มีความเสี่ยงสูงที่จะพบความบกพร่องทางสมองและเชาว์ปัญญาได้เช่นกัน ดังนั้น ผู้ที่ได้รับยา isotretinoin จะต้องคุมกำเนิดก่อน รับประทานยาอย่างน้อย 3 เดือน และคุมกำเนิดตลอดระยะเวลาที่ใช้ยาตัวนี้ในการรักษา และต้อง
หยุดยาล่วงหน้าอย่างน้อย3 เดือน ถึง 1 ปี ก่อนจึงจะตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย
– หญิงให้นมบุตรไม่ควรรับประทานยา isotretinoin
– ผู้รับประทานยา isotretinoin ต้องไม่บริจาคเลือดในระหว่างที่รับประทานยาและจนกระทั่งหลังจากหยุดรับประทานยา ไปแล้ว 1 เดือน
– การรับประทานยา isotretinoin อาจทำให้ผิวหนังแห้ง ลอก และไวต่อแสง ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการถูกแสงแดด นอกจากนี้อาจมีอาการตาแห้ง ปาก-คอแห้ง ได้เช่นกัน
– การรับประทานยา isotretinoin อาจทำให้เกิดความบกพร่องในการได้ยิน หรือเกิดเสียงหวีดในหู (tinnitus) ได้ ดังนั้น หากมีอาการเหล่านี้ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยด่วน
– หลีกเลี่ยงการรับประทานยา isotretinoin ร่วมกับวิตามิน A, สมุนไพรชื่อ St. John’s Wort และยา tetracycline
– isotretinoin มีความเป็นพิษต่อตับ (hepatotoxicity) ดังนั้นควรเข้ารับการตรวจค่าการทำงานของตับ (liver function test) อยู่เสมอ หากมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองควรหยุดยาและรีบมาพบแพทย์
– การรับประทานยา isotretinoin อาจทำให้เกิดภาวะไขมันในเลือดสูง (hyperlipidemia) โดยเฉพาะไตรกลีเซอไรด์ (triglyceride) ดังนั้นควรมีการตรวจระดับไขมันในเลือดอยู่เสมอในระหว่างที่รับประทานยา และหากไม่สามารถควบคุมระดับ ไขมันที่สูงขึ้นได้ควรหยุดรับประทานยาและไปพบแพทย์
– การรับประทานยา isotretinoin อาจทำให้เกิด inflammatory bowel disease (IBD), ปวดกล้ามเนื้อ(arthralgia), กล้ามเนื้อถูกทำลายอย่างรุนแรง (rhabdomyolysis) ได้เช่นกัน
– การรับประทานยา isotretinoin ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน (มากกว่า 6 เดือน) อาจทำให้ความหนาแน่นกระดูก (bone mineral density) ลดลง และอาจทำให้เกิดภาวะกระดูกนุ่ม รวมถึงภาวะกระดูกพรุนด้วย อีกทั้งจำเป็นจะต้องระมัดระวัง เป็นอย่างยิ่งเมื่อมีการใช้ยาในเด็ก
– พบการรายงานเกี่ยวกับความผิดปกติทางจิต เช่น ซึมเศร้า จิตเภท มีพฤติกรรมรุนแรง ก้าวร้าว มีความคิดหรือมี ความพยายามในการฆ่าตัวตาย(พบได้แต่น้อยมาก) จากการรับประทานยา isotretinoin ดังนั้นผู้รับประทานยาควรได้รับการ ประเมินความผิดปกติทางด้านจิตใจก่อนการรับประทานยา และผู้รับประทานยาควรแจ้งแพทย์ทันทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทาง อารมณ์หรือพฤติกรรมที่ต่างไปจากเดิม